ว่ากันตามธรรม ไม่ได้ว่ากันตามใจตน

ว่ากันตามธรรม ไม่ได้ว่ากันตามใจตน

1147
0
แบ่งปัน

สติกับตัวรู้ตัวเดียวกันรึเปล่าครับ

รอคนถามตั้งนานแล้ว แหม ตอนว่างๆไม่ยักมีคนถาม อีกซักครู่ก็ไม่ว่างแล้ว
เป็นเช่นนั้นนั่นแหละ จริงฤา

นักปฏิบัติมักไม่เข้าใจว่าอะไรคือผู้รู้ อะไรคือผู้ดู รู้ทั้งหลายนี้มันเป็นเวทนา เป็นอาการของโปรแกรมที่ซ้อนกันอยู่กันอยู่ในทุกตัว

รู้นี้เป็นอาการหนึ่งของจิต มันไม่ใช่จิต ปัญญาไม่พอ มันเอาอาการของจิตมาเป็นตัวมัน

นักปฏิบัติจึงมองเห็นธรรมลำบาก เพราะเข้าใจว่าตนเป็น มันติดการยึดเป็นอุปาทาน

แม้เจ้าตัวจะกู่ร้องว่า กูไม่ยึดกูวาง แต่ไม่รู้จะว่ายังไง มีแต่เป็นเจ้าของกูวางๆๆๆ ด้วยสติ

เอาสติมาเป็นตัวตนอีก เพราะพระสอนให้มีสติ แต่ดันเสือกไม่ชี้ ว่าสติมันใช้งานยังไง และทำอย่างไรกับมัน ในเมื่อโจรมันก็มีสติ

กำลังแห่งสตินี่ ไม่ใช่การจ้องหรือเพ่งแล้วระลึกรู้ได้อย่างที่เข้าใจกัน

สตินี่ มันอาศัยผัสสะเกิด อาศัยเวทนา ที่ผ่านเจตสิกและกระบวนปรุงแต่งแห่งนามขันธ์ไปแล้ว

ผู้รู้ธรรมที่เอาปัญญาญานสอดส่องลงไป ในตัวแห่งคำว่าสติ ท่านก็จะเข้าใจ หากญานแห่งวิปัสนาญานมันเกิด

มันจะเห็นชัด โดยไม่ต้องถกเถียงใครหรือต้องเชื่อใคร ที่ไม่รู้ว่าสติคืออะไร เป็นเพราะไม่ได้สอดส่งใจลงไป วินิจฉัยในธรรมแห่งสติ
วีระศักดิ์ พีระ พระอาจารย์ครับ ถ้ารู้มาถึงตรงผู้รู้ ผู้ดูนี่ ต้องจบลง ม้วนเสื่อลง อนิจจัง หรือ เช่นนั้นเองใช่ใหมครับผม ตรงนี่คือยอมรับลงกับใจ

ไม่ไปต่อล้อต่อเถียงเพิ่น เพราะมันจะเวียนรู้ไม่จบ เมื่อมันเห็น สรุปลงอย่างนี้ได้ ก็ปล่อยตัวสงสัยรู้นี่เสีย ขอคำชี้แนะครับผม

พระอาจารย์ วีระศักดิ์ พีระ รู้มาถึงตรงนี้ มันเป็นธรรมขั้นสังขาร มันยังไม่จบ ปัญญายังตี อวิชาไม่แตก

แต่เจ้าของจะเข้าใจและรู้ว่า กายอย่างหนึ่ง เวทนาอย่างหนึ่ง ผู้เห็นอาการเหล่านี้อย่างหนึ่ง

และผู้รู้ผลที่แสดงทั้งหลายอีกอย่างหนึ่ง

ใจมันเคลียร์เรื่องกาย แต่เรื่องเวทนา และผู้ดู ยังไม่เคลียร์ มันยังสงสัยอยู่

และที่สำคัญ ตัวผู้รู้นั่นแหละ เป็นตัวผู้สงสัยไม่ใช่ใคร

เมื่อตีอวิชาไม่ได้ มันก็เลยเป็นทั้งผู้ดู และเวทนา ทั้งๆที่มันรู้อยู่ ว่าเป็นคนละตัวกัน

นี่ เป็นธรรมที่ลึกเกินกว่าเราจะหยั่งถึงกัน แต่ก็ใช่ว่า ทุกคนต้องรู้อย่างนี้เช่นนี้ถึงจะบรรลุธรรม ขอบอกว่าไม่จำเป็น

นี่เป็นเพียงช่องทางแห่งผู้ดำเนินมาทางวิปัสสนาญาน ที่สอดส่งลงมาในเส้นทางนี้เท่านั้น

เป็นพวกวิสัยพุทธภูมิ ที่ลาพุทธภูมิแล้วเข้าถึงธรรม ที่สำคัญ มันเข้าถึงธรรมก่อน มันจึงจะเข้าใจ

ไม่ใช่เข้าใจแล้วจึงเข้าถึงธรรม อย่างที่เราเข้าใจกัน

เข้าใจก่อนเข้าถึงธรรมก็จะเป็นมานะและตัวตนแห่งสัญญาจำทันที

หากเจ้าของยังมีอุปาทานสูง  รู้แค่ว่ามันเป็นอย่างนี้ อย่าไปเป็นอย่างนี้เพราะรู้ว่า

ปล่อย รู้ รู้ก็สักแต่ว่ารู้
ไม่รู้ ก็สักแต่ว่าไม่รู้

ทุกจิตเป็นโพธิ แต่อวิชชามาปิดบังเอาไว้
ความไม่รู้ จึงทำให้หลงเข้าใจกิเลสว่าเป็นจิต

การเถียงกัน การเห็นต่างกัน
จึงเป็นเรื่องของกิเลสที่เห็น

จิตแท้ๆเห็น จะเห็นเหมือนกัน
คือเห็นว่า กิเลสมิใช่จิตที่แท้จริง
จิตแท้ๆมิใช่กิเลส
ความไม่รู้ รู้ไม่ทัน
จึงทำให้หลง ทำให้เผลอ
ไปถือเอากิเลสว่าเป็นจิต
จิตแท้ๆ ไม่มีการเกิด-ดับ

เข้าถึงจิตแท้ๆได้
จึงพ้นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้

พระอาจารย์

ท่านปล่อยรู้ ไม่ว่าเราจะปล่อยหรือไม่ปล่อยในสิ่งที่รู้

จะเฉยๆไม่รู้ไม่ชี้ไม่เอา ไม่สนใจ มันก็เป็นเจ้าของเวทนาเหล่านี้อยู่นั่นแหละ

เพราะผลมันเกิดมาแล้ว ธรรมะ ไม่ใช่การไม่เอา ไม่ใช่รู้แล้ว มันก็เป็นของมันเช่นนั้นเองอย่างที่เราคิดเอา

เราอย่าไปยึด ไปข้อง ให้เป็นอุปาทานอะไร อย่างที่เราคิดเอา

อาการเช่นนี้นั้น มันเป็นตัวกูทั้งดุ้น มันไม่ได้ออกจากตัวตนเจ้าของรู้นั้นอะไรที่ไหนเลย

และพุทธเราต่างก็เข้าใจกันมาเช่นนี้ซะด้วย ขอบอกว่า เหล่าพวกพราหมณ์ เหล่าเดียรถีร์ เขาก็เข้าใจเช่นนี้เหมือนกัน เราเอาผลที่เรารู้เทียบปัจจุบันที่เราเป็นดูก็ได้

เราย่อมรู้ได้ ว่าธรรมทั้งหลายที่เรารู้ มันต่างกับความเป็นอยู่ที่เราเป็น

เพราะเรายังอยากให้ได้ดั่งใจเรา มันเป็นคนละฟากกับธรรมที่เรารู้เลย

ผลมันแสดงตัวของมันอยู่ ว่าไอ้ที่รู้ๆนี่ มันเป็นแค่สัญญาจำ

ธรรมตามตำรา ใครๆก็ยกมาได้มันไปได้เรื่อยนั่นแหละ

ฟังมากๆแล้วมันเอียน ที่เอียนเพราะทุกคนต่างก็อ่านตำราออกอ่านตำราเป็น

แล้วคิดดู มันยังมีคนเสือกเอาธรรมตามตำราที่ใครๆก็อ่านออก มาบอกมากล่าวและยกตัวตนขึ้นมาเป็นผู้รู้ธรรม

ข้าว่า อาการอย่างนี้ มันเป็นอาการเด็กมันอยากใส่กางเกงลิง ทั้งๆที่ไอ้จู๋มันยังเท่าเม็ดพริกน่ะ

หวัดดี ว่างอีกซักเล็กน้อย

นี่ เมื่ออ่านความตามที่เขียนกันมาแล้ว อย่างท่านปล่อยรู้นี่ แสดงออกถึงการยึดอัตตาแห่งภาษาธรรมมากๆ

คำว่าเจริญรอยตามคำสอนแห่งองค์พระสัมมานี่ ไม่ใช่ต้องว่ากันตามคำที่เขาแปลๆกันมาจากตำรา

คำในตำรามันก็แปลเขามา แปลมาเป็นภาษาไทยให้คนไทยมันเข้าใจ

ทีนี่ ถ้าชาวบ้านแปล มันก็ใช้คำไปอย่างหนึ่ง

ถ้าพวกขุนนางแปล มันก็ใช้คำไปอย่างหนึ่ง

ถ้าพวกปราชญ์บ้าภาษาแปล มันก็ใช้คำไปอย่างหนึ่ง

อย่างนี้ภูมิแต่ละท่านแปล แต่ละคนใช้ภาษาสื่อไม่ตรงกัน ก็บิดเบือนหมดนะซิ

จะเอาของใครมาเป็นบรรทัดฐาน

แล้วท่านเอง ก็แค่ไปจำไปอ่านที่เขาแปลมาแล้ว และเอาตัวเองเข้าไปเข้าใจคำแปลของเขาอีกที

แล้วบอกว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสอย่างนั้นอย่างนี้

พอไม่ถูกใจ มันก็เลยไม่ชอบใจนี่แหละมันเป็นอัตตาตัวตนเจ้าของธรรม

ภาษาบาลีมันมีกาลเข้ามาประกอบมากมาย ท่านจึงต้องเรียนความหมายเป็นประโยค

ธรรมะนั้น เมื่อมีผู้มีธรรมชี้ มันต้องเข้าใจง่าย มีเหตุมีผลรองรับ

และสามารถสาวผลนั้นลงไปหาเหตุที่ลึกลงไปๆๆๆๆๆ ได้โดยไม่ติดขัด

นั้น จึงจะเกิดความยอมรับว่าเป็นผู้เข้าถึงธรรมโดยแท้

ไม่ใช่ไปกล่าวอ้างว่าตำราเขาว่าอย่างนี้ นี่มันโชว์ความโง่หลายให้ชาวปฐพีเขาขำเอา

คนทั้งหลายเขาก็มีปัญญา และรู้ว่า อะไรคือจด อะไรคือจำ และอะไรคือธรรมที่ออกมาจากหัวใจ

การแสดงธรรมออกมาจากหัวใจ ไม่ต้องอาศัยตำรา เพราะตำราก็จำมาจากหัวใจดวงนี้

ใจที่มันเข้าไปเห็นความเป็นจริงแห่งสัจจธรรม

ไม่ใช่ไปจดจำธรรมที่เขาแปล แล้วเอามาพูดเอามาอวดภูมิ

พระพุทธองค์เจ้าท่านก็เห็นมาเช่นนี้ จึงมากล่าวสอน

ผู้เจริญรอยตามเมื่อเข้าไปเห็น มันก็เห็นตัวเดียวกันแห่งความเป็นจริงตามสัจจธรรม

ต่างกันแค่ภาษาใช้ แต่เป็นธรรมตัวเดียวกัน เห็นซึ่งความเป็นจริงแห่ง ตถาตา เช่นเดียวกัน

มันอยู่แค่กระบวนการอธิบายธรรมออกมาให้โลกเห็น ว่ามันเป็นของมันเช่นนี้

ชาวบ้านก็เข้าใจถึงที่มาที่ไป ว่าอ้อ ที่แท้จริงมันเป็นเช่นนั้นเอง

ใช่ว่าเรียนจดเรียนจำมาแล้วมันจะเข้าถึงธรรม ไม่งั้นใครเรียนมหาเปรียญก็เข้าถึงธรรมกันหมดแล้ว

ถ้าตรงนี้พูดมึงกู หากพระพุทธองค์มาชี้ธรรม ท่านก็มึงกูเหมือนกันนั่นแหละ ไม่งั้นมันไม่เข้าใจ

เมื่อไม่เข้าใจ มันจะไปเรียกว่าเป็นการแสดงธรรมได้ยังไง กับควายก็แสดงได้อย่างงั้นรึ

คำแห่งภาษาจะใช้คำอะไรก็ได้ เอากันแค่ผู้ฟังมันพอเข้าใจในเนื้อธรรมไหม

และธรรมนี้ที่แสดง ก็แสดงให้แก่ผู้ที่เข้าถึงอาการเช่นนี้ฟัง

พอฟังปุ๊บ มันจะเข้าใจและรู้เลย ว่าเราวางใจผิดรึถูก มันเป็นการชี้ช่องทางธรรม

แต่คนที่อ่านที่จำมา มันก็เอาที่มันอ่านที่มันจำมานั่นแหละเข้ามาอวดเข้ามาโชว์

คงลืมนึกไปว่า หน้าเพจธรรมกะนี้ เต็มไปด้วยพระธรรมถึกเยอะแยะ มีทุกมหาเปรียญ ดร.ทางธรรมทางโลกก็เยอะ หรือพวกเขาไม่มีปัญญา

ไอ้ที่เรายกๆกันมา ใครๆเขาก็รู้ๆกันอยู่แล้ว นี่ไม่ได้ว่า

ธรรมนี้ไม่ได้ว่าใคร แค่ยกตัวอย่างให้เห็น หากเจ้าตัวเป็น มันก็สะเทือน

ข้านี่ ว่าตามธรรม ว่าไปตามผัสสะ ไม่เอาตนเองเข้าไปว่า ผิดไปจากธรรม ตัดหัวข้าได้เลย ยอมตายด้วยธรรมอยู่แล้ว

หากผิดพลาดออกไปจากธรรม ก็ไม่ควรมีชีวิตอีกต่อไป เพราะใครๆหลายคนเขาก็ นับถือธรรมเอาธรรมเป็นที่ตั้งแห่งใจ จากใจธรรมกะที่อธิบายธรรมออกจากใจนี้

ปล่อยรู้ สาธุครับท่านธรรมกะ

โยมก็เข้าใจตรงกับท่านครับ

ความจำมันไม่อาจทำให้หลุดพ้นไปจากทุกข์ได้
ความไม่มีอุปาทานในขันธ์นั้นเอง
คือความหลุดพ้นไปจากทุกข์

ส่วนบุคคลใดจะปฏิบัติได้อย่างที่กล่าวหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะตนจริงๆ มิใช่เหรอครับ

การคาดเดา หรือการก้าวล่วงในญาณ ฌาน
ของบุคคลอื่น โยมกลับมองว่า
สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นเหตุสร้างอัตตามานะทิฏฐิขึ้นมา
รู้เขาเป็นความรู้จากความจำจากสัญญา
รู้เราเป็นรู้จากวิชาเป็นรู้ที่ถูกต้อง

ซึ่งอาจจะเป็นความเห็นที่ผิดก็ได้
ยังไงก็ขอความเมตตา จากท่านอ.ธรรมกะ
โปรดเมตตาช่วยชี้แนะด้วยครับ

พระอาจารย์ ปล่อย รู้ เป็นคนเก่ง ข้าเองนี้ก็นิยมชมชอบ

เรื่องธรรมนี้ มันเป็นเฉพาะตัวก็จริง

แต่ความเป็นเฉพาะตัวมันสามารถอธิบายให้ผู้อื่นรู้และรับฟังได้

การที่ยังตัดสินใจผู้อื่นนั้น มันเป็นมานะ และอัตตาอย่างท่านว่า

ผู้รู้ธรรมท่านไม่ว่าหรือยุ่งเรื่องผู้อื่น

แต่ท่านอธิบายธรรมไปตามเหตุปัจจัย

ไม่มุ่งหมายที่จะไปว่าใคร ท่านอธิบายไปตามเหตุปัจจัยแห่งผัสสะ

ไม่ได้มีทิฏฐิมานะ เพราะถูกใจหรือไม่ถูกใจ เข้าไปควบคุมใจ

แต่ธรรมทั้งหลาย ผู้ฟังที่ยึดอัตตาย่อมสะดุ้ง นี่ เป็นธรรมดา

ผู้รู้ธรรมย่อมแสดงผลไปตามผัสสะแห่งอัตตา เพราะอัตตามันเป็นเครื่องอยู่ของผู้รู้ธรรมเช่นกัน

ผลยังมีธาตุขันธ์และโปรแกรมสัญญาที่เป็นวิบากมา มันแสดงผลอยู่ ยังมีตัวเราอยู่

แต่ท่านรู้ว่าแม้มีตัวเราอยู่มันก็เป็นสมมุติไปตามผลที่แสดง

ท่านจึงไม่ว่าใคร และติเตียนใคร ตามที่โลกเขาเข้าใจกัน

มันเป็นแค่วาทะจริต เราจึงอาจเข้าใจว่า เห็นไหมนั่นไง ท่านเองก็ยังยึดอัตตา และติเตียนผู้อื่นอยู่

ตรงนี้เป็นตัวเราผู้เข้าไม่ถึงผล มันจึงยึดเอากริยา วาทะของท่านมาเป็นว่า เขาว่ากู

นี่ เราเองนี่แหละ เป็นมานะอัตตาและทิฏฐิที่ตัวเรามันมองไม่เห็น

แต่ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจ และขอให้มีดวงตาเห็นธรรม ขอสาธุการ

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง เข้าถึงธรรมเบื้องต้น เห็นอะไร วันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง